Mclaren 720s


Mclaren 720s




เปิดตัว “McLaren 720S” ฉลามตัวแรงแดนอังกฤษ สมรรถนะระดับ Hypercar ในราคา Supercar เริ่ม 26.5 ล้านบาท

Mclaren Bangkok เปิดจำหน่ายสุดยอดซูเปอร์คาร์เจเนอเรชั่นที่ 2 ในตระกูล Super Series McLaren 720S ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Twin Turbo V8 Engine แบบ 4 ลิตร ภายใต้ธีม "The New McLaren 720S Raising your Limits in Thailand" เมื่อวานนี้  ณ โชว์รูมนิชคาร์
ซึ่งทีมงาน Pantip Garage เราก็ไม่พลาดเข้าร่วมยลโฉมเจ้าฉลามตัวแรงแดนอังกฤษ คันนี้

ในขณะที่ซูเปอร์คาร์จากฝั่งอิตาลีส่วนมาก มักมีรูปลักษณ์ที่ชวนให้นึกถึงนวนิยายปิศาจ ที่ซึ่งบรรดาพลพรรคมารร้ายยืนล้อมบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ร่ายมนตราคาถาเปิดประตูมิตินำเอาอสูรร้ายจากนรกมาสู่โลกมนุษย์… 720S เหมือนเป็นอสูรแบบที่เกิดมาจากห้องแล็บของนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ เริ่มต้นด้วยสัตว์ที่มีจิตวิญญาณของนักล่าตัวนึง จับมาขึงบนเตียง จากนั้นอาวุธต่างๆถูกทยอยติดตั้งลงไป มันสมองถูกแทนที่ด้วยชิพคอมพิวเตอร์ เซ็นเซอร์ต่างๆถูกติดตั้งเข้าไปเพื่อให้มันเป็นนักล่าที่ร้ายกาจที่สุด
มันไม่มีตัวเปรียบเทียบที่ทำให้คุณเห็นภาพได้ชัดเจน Storm Shadow ตัวร้ายจาก G.I. Joe ก็ยังดูมีอารมณ์ขัน มีคำพูดยียวนกวนประสาท ส่วนไอ้ตัว Predator จากภาพยนตร์ชุดมหากาพย์ตั้งแต่ปี 1987 มาจนถึงปัจจุบันนั้น แม้จะคล้ายมากในความเป็นนักล่าที่ห่อหุ้มด้วยเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิสก์เพื่อการสังหาร แต่เห็นได้ชัดว่า Predator ไม่เคยเข้าคอร์สบุคลิกภาพ John Robert Powers และไม่น่าจะได้อาบน้ำบ่อยกว่าเดือนละครั้ง ในขณะที่ 720S เป็นอสูรร้ายที่ดูเรียบ สะอาด แต่มีรายละเอียดลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก

ยกตัวอย่างรายละเอียดแบบที่ว่า..คุณสังเกตหรือไม่ครับ 720S ไม่มีช่องรับอากาศขนาดโตที่ด้านข้างของรถแบบที่ซูเปอร์คาร์เขามีกัน แต่ถ้ามองรถจากมุมบน คุณจะเห็นว่าอันที่จริงประตูรถนั้นมีลักษณะเหมือนแซนด์วิชที่ตรงกลางนั้นว่าง เมื่อรถวิ่ง กระแสอากาศจะไหลเข้ามาตรงพื้นที่ระหว่างชั้นประตู แล้วก็ถูกส่งขึ้นไปตามสันบ่าของรถ เข้าสู่ห้องเครื่องยนต์ไประบายความร้อนให้หม้อน้ำชุดหลัก ซึ่งอยู่ใกล้ล้อหลัง ก่อนไหลออกที่ด้านหลังของรถบริเวณเสา C-pillar
ด้านหน้าของรถ ส่วนที่เป็นไฟหน้า ก็ถูกลดขนาดจากรุ่นก่อนเหลือเพียงดวงไฟเล็กๆที่ติดตั้งอยู่ลึกลงไปในเบ้าของช่องรับอากาศซ้าย/ขวา ซึ่งจะรับลมไประบายความร้อนแผงคูลเลอร์ (Low-temp Radiator) ก่อนที่จะออกมาตรงช่องก่อนถึงซุ้มล้อ ในขณะที่ลมบางส่วนที่เข้าหน้ารถจะถูกจัดไปเป่าระบายความร้อนให้ระบบเบรก และไหลออกที่ช่องหลังซุ้มล้อ รายละเอียดด้านอากาศพลศาสตร์แบบนี้คุณอาจจะบอกว่าไม่แปลก Ferrari ก็ทำ แต่ถ้าคุณดูภายนอกรถรอบคันจากระยะไกลๆจะพบว่า 720S พยายามซ่อนองค์ประกอบเหล่านี้มากกว่า Ferrari  ซึ่งตรงตามเจตนารมย์ของผู้บริหารและหัวหน้าทีมออกแบบ Robert Melville “เราต้องการเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกโดยการทำให้เส้นสายมันดู Clean ขึ้น”
แอโร่ไดนามิกส์ของ 720S นั้นจะสร้างการรับรู้ได้ชัดเจนที่สุดคือคุณต้องไปยืนเกาะขอบสนาม แล้วฟังเสียง 720S ห้อเต็มเหยียดผ่านไป ก่อนที่รถจะมาถึงจุดที่คุณยืนอยู่ มันแทบจะไม่มีเสียงอะไรเลย แต่พอรถวิ่งผ่านคุณ กระแสลมที่มาจากท้ายรถจะตีเข้าหน้าคุณราวกับเสียงฟ้าผ่า ซึ่งเมื่อฟังเทียบกับ 650S รุ่นเก่า ซึ่งเสียงแหวกลมดังกว่าเมื่อวิ่งมาจากระยะไกล แต่เสียงตอนวิ่งผ่านตัวคุณกลับเบากว่า ผมยืนฟังแค่รอบเดียว รอบต่อไปให้หลับตาฟังแล้วเอา 650S, 540C กับ 720S วิ่งปะปนกันมา ผมก็สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่ที่ 720S วิ่งผ่าน มันต่างขนาดนั้นเลยจริงๆ
ตรรกะในการทำรถของ McLaren ยังรวมไปถึงโรคบ้ารายละเอียด เช่นประตูแบบ Dihedral doors ที่เปิดเฉียงขึ้นเหมือนแมลงปีกแข็ง ซึ่งทำให้เข้าออกรถได้ง่าย แต่เต็มไปด้วยกลไกที่มีน้ำหนักมาก McLaren ก็ไปกู้ส่วนต่างของน้ำหนักคืนด้วยการออกแบบรถให้อากาศไหลผ่านประตูเข้าหม้อน้ำได้ดีขึ้น ทำให้สามารถใช้หม้อน้ำที่เล็กและเบาลง กล่องกรองอากาศก็ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่ยึดกันชนหลังทำให้ลดโครงสร้างส่วนที่ไม่จำเป็นออก ทำให้เบาลง 1.4 กิโลกรัมเมื่อเทียบกับ 650S..แค่ 1.4 กิโลยังจะเอา!
หรือแม้กระทั่งการปรับเซ็ตระบบควบคุมการทรงตัว ซึ่งจูนมาโดยทดสอบกับยาง Pirelli หลายรุ่น แล้วเวลาเปลี่ยนยาง เจ้าของรถต้องป้อนค่าด้วยว่าตอนนี้ใส่ยาง P-Zero, Corsa หรือ Trofeo R แล้วรถจะปรับนิสัยของมันให้เข้ากับยางนั้นได้ดีที่สุด


McLaren 720S มีขนาดตัวถังยาว 4,543 มิลลิเมตร กว้าง 1,930 มิลลิเมตร เตี้ยเรี่ยดินเพียง 1,196 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,670 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงจุดเตี้ยสุดของใต้ท้องรถอยู่ที่ 107 มิลลิเมตร แต่ 720S มีฟังก์ชั่น Nose Lift ที่กดปุ่มตรงปลายก้าน Cruise Control ที่ความเร็วต่ำ ก็จะเลื่อนเชิดส่วนหน้ารถขึ้น ทำให้เพิ่มความสูงใต้ท้องเป็น 134 มิลลิเมตร ตัวถังมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ Cd=0.36 ถังน้ำมันมีขนาด 72 ลิตร
น้ำหนักตัวถังของ 720S เมื่อชั่งแบบไม่มีของเหลวจะได้ 1,283 กิโลกรัม และเมื่อเติมของเหลวเข้าไปให้ได้ตามมาตรฐาน DIN จะได้น้ำหนัก 1,419 กิโลกรัม ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าตัวรถไม่เบา แต่นิตยสาร Autocar ที่อังกฤษเคยลองเอาไปวัดน้ำหนักเทียบกับ Ferrari 488GTB ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน ปรากฏว่า McLaren เบากว่า Ferrari ถึง 135 กิโลกรัม
ที่เก็บสัมภาระ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือด้านหน้า 150 ลิตร และด้านหลังเบาะนั่ง จะมีที่ให้วางกระเป๋าและของได้พอประมาณ จุ 210 ลิตร ดังนั้นถ้าคิดจะขับรถคันนี้เดินทางไกล กรุณาคำนวณขนาดกระเป๋าเดินทางและสัมภาระให้ดีก่อนนะครับ

ประตูของ McLaren 720S เป็นแบบ Double-hinged Dihedral Door ซึ่งบางคนชอบเรียกว่าประตูแบบ Butterfly Wing แต่ผมมองจุดยึดแล้วเหมือนพวกปีกแข็งของด้วงกว่าง สิ่งนี้เป็นเอกลักษณ์ของ McLaren มานานตั้งแต่รุ่น F1 แล้ว แต่ใน 720S ทีมวิศวกรพยายามขยายขนาดของประตู ลดความกว้างของบริเวณขอบประตูบนตัวถังที่คั่นระหว่างเบาะนั่งกับโลกภายนอก เพราะต้องการให้เข้า/ออกจากรถได้ง่ายขึ้น
McLaren มาพร้อมกับกุญแจแบบ Smart Key ดังนั้นจึงเดินเข้าไปที่ข้างๆรถ แล้วเปิดประตูได้เลย ช่วงแรกๆจะมองหาที่เปิดประตูยากหน่อยเพราะมันจะเป็นปุ่มแบบ Contact button ขนาดเล็ก ซ่อนอยู่ที่ร่องทางระบายลมค่อนไปทางเสา B-pillar เมื่อกดแล้วประตูจะแง้มออกด้านข้างนิดๆ ให้ใช้แรงช่วยส่งนิดหน่อย จากนั้นมันก็จะเปิดขึ้นกว้างโดยอัตโนมัติ McLaren พยายามออกแบบให้ประตูกินเนื้อที่ด้านข้างน้อยลงเวลาเปิด ดังนั้นมันจึงต้องการเนื้อที่สำหรับเหวี่ยงประตูเปิดเพียงแค่ราว 14 นิ้วจากปลายกระจกมองข้าง และความสูงของพื้นที่ประมาณ 2 เมตรแค่นั้น
คุณอาจจะไม่เชื่อ ถ้าผมบอกว่า ไม่เคยเจอซูเปอร์คาร์ 2 ที่นั่งคันไหนที่ชายร่าง 5XL 150 กิโลกรัมสามารถเข้าออกได้ง่ายเป็นเล่นอย่างนี้มาก่อน แต่เชื่อเถอะครับ เพราะการที่ประตูเปิดโดยกินเนื้อที่ส่วนหลังคาไปด้วยทำให้ไม่ต้องก้มหัวหลบแนวหลังคา ในขณะที่ขอบตัวถังที่หนาไม่มาก ทำให้ไม่ต้องเอาตัวนั่งบนขอบประตูก่อนแล้วค่อยไถตูดเข้า พูดง่ายๆคือถ้าจะมีรถที่เข้า/ออกง่ายกว่านี้ มันต้องเป็นรถอย่าง GT-R R35 ที่คันโตและสูงกว่าเท่านั้น 720S นี่ลุกเข้ากับเด้งออกง่ายกว่า Huracan, Gallardo และไม่ต้องพูดถึง Aventador หรือรถประตูแปลกรุ่นอื่นให้เสียเวลา แม้แต่ AMG GT-S ก็ต้องก้มหัวและเข้าออกยากกว่านี้

เบาะนั่งเป็นแบบบัคเก็ตซีทที่สามารถปรับเอนได้ ยังไม่ใช่เบาะ Race Seat แบบหลังแข็ง ในเมืองนอกจะมีเบาะแบบธรรมดาใช้คันโยกเอนเบาะและคันดึงเลื่อนเบาะสำหรับคนที่ต้องการความ Minimalism แต่ในรถคันที่เราได้ขับ จะเป็นเบาะปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทางพร้อมระบบความจำ 2 ตำแหน่ง มีปุ่มปรับดันหลังให้ดันมาก/น้อยและดันในตำแหน่งสูง/ต่ำ
การวางตำแหน่งเบาะของ 720S จะคล้ายกับ MP4-12C คือคอนโซลกลางจะลีบ เรียวเล็ก เพื่อให้เบาะซ้ายกับขวาอยู่ชิดกันมากที่สุด วิธีนี้ทำให้คนขับนั่งอยู่ในตำแหน่งใกล้ศูนย์กลางของรถตามแนวยาว ซึ่งให้ผลดีในเรื่องทัศนะวิสัย การรับรู้กะระยะระหว่างหน้ารถกับโค้ง และการจับความรู้สึกแรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นกับรถ


จากที่คุณเห็นได้จากภาพนี้ คงพอเดาออก..มันไม่ใช่เบาะที่สบายอะไรขนาดนั้น แต่อย่างน้อยความแข็งของฟองน้ำ ก็เหมาะสมแล้วสำหรับซูเปอร์คาร์ 720 แรงม้า เบาะรองนั่งมีปีกรองซัพพอร์ทด้านข้างขนาดใหญ่ แต่แผ่ออกมากพอให้ผมนั่งแล้วจุดศูนย์กลางทวารหนักสามารถลงไปพักผ่อนบนเบาะรองนั่งได้เต็มๆ (ในขณะที่ Race Seat บางรุ่นปีกจะแข็งและบีบ ค้ำยันจนตูดผมแตะไม่ถึงกลางเบาะ) ผมคงไม่สามารถตำหนิอะไรได้สำหรับการออกแบบเบาะเมื่อคำนึงถึงรูปแบบรถ
..อย่างเดียวที่สงสัยเป็นที่สุดคือ..ทำไมต้องเอาสวิตช์ปรับเบาะไปไว้ในตำแหน่งที่โคตรพิลึก เช่นสำหรับเบาะคนขับ ถ้าจะปรับ ต้องเอามือซ้าย ล้วงลงไปข้างซ้ายค่อนหน้าของเบาะในมุมอับที่ติดอุโมงค์กลางของห้องโดยสาร ถ้าคุณไม่ได้ผอมและตัวอ่อนลื่นเป็นเด็ก วิธีเดียวที่คุณจะเห็นหน้าตาของสวิตช์ได้คือเอากระจกเงามาส่องหรือมองจากเบาะของคนข้างๆ และแทนที่จะทำสวิตช์ปรับให้เป็นรูปคล้ายกับเบาะให้เอามือจับและปรับง่ายๆเหมือนชาวบ้าน เขากลับทำเป็นปุ่ม และขนาดเล็กมาก ที่เห็นพี่จ้ำ กรัณฑ์ ศุภพงษ์ล้วงๆอะไรอยู่นั่น แกพยายามช่วยผมปรับเบาะครับ กว่าจะได้ตำแหน่งที่ต้องการเล่นเอาเกือบเลิกอยากขับ คงมีแต่เจ้าของรถตัวจริงที่จะจำได้และใช้ได้ถนัด
ส่วนพวงมาลัยนั้น สามารถปรับขึ้น/ลง และเข้า/ออกได้ ส่วนจะปรับด้วยวิธีการใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของรถสั่งเลือกอุปกรณ์แบบไหน รถทดสอบของเราใช้คันโยกปลดล็อคเพื่อปรับพวงมาลัยแบบรถทั่วไป แต่คุณสามารถสั่งออพชั่นพวงมาลัยปรับไฟฟ้าได้ และระยะการปรับก็ค่อนข้างกว้างจนขนาดตัวอย่างผมยังจับพวงมาลัยได้ถนัด เช่นเดียวกับพี่ฉ่าง และพี่ก้องที่เป็นสื่อมวลชนขนาดตัว L ปกติที่มาทดสอบด้วยกัน






สำหรับการวางตำแหน่งปุ่มควบคุมต่างๆนั้น บนบานประตู จะมีสวิตช์กระจกไฟฟ้าแบบ One-touch เรียงคู่อยู่ใกล้กับคันดึงเปิดประตู บริเวณด้านล่างของประตูเป็นช่องเก็บของที่ทำเป็นฝาปิดซ่อนตัวไว้อย่างแนบเนียน ถัดมาบนแดชบอร์ดด้านขวาข้างใต้ช่องแอร์มีสวิตช์เรียง 3 ปุ่มสำหรับพับ/กางหน้าปัด, ล็อค/ปลดล็อคประตู และสวิตช์เปิดฝากระโปรงหน้า ถัดลงไปจะเป็นปุ่มหมุนสำหรับเปิด/ปิดไฟหน้าแบบ Adaptive (ซึ่ง McLaren เคลมว่าเป็นไฟหน้ากระดิกที่มีน้ำหนักเบาและทำงานไวที่สุดในโลก) และสวิตช์สำหรับเบรกมือ

เบรกมือของ 720S นั้นเป็นแบบไฟฟ้า ดึงคันโยกเข้าหาตัวเพื่อขึ้นเบรกมือ และกดเข้าเพื่อปลด 720S เป็นรถที่ไม่มีเกียร์ P (Park) แต่เมื่อจอดรถ ดับเครื่อง แล้วรถจะขึ้นเบรกมือไฟฟ้าให้เองโดยอัตโนมัติ ในกรณีที่ถ้าคุณไม่ต้องการให้รถขึ้นเบรกมือตอนจอด ก็แค่เอามือซ้ายดึงสวิตช์เบรกมือไฟฟ้าในตำแหน่งปลดค้างไว้ในขณะเดียวกันก็เอามือขวาเปิดประตู (ด้านคนขับ) รถก็จะจอดโดยไม่ขึ้นเบรกมือ ทั้งนี้ผมยังไม่มีโอกาสลองทำจริงๆว่าสามารถจอด+ล็อครถแล้วทำให้มันเข็นไปมาได้หรือไม่ ถ้าได้ก็เจ๋งเลย
พวงมาลัยของ 720S นั้น จะประหลาดหลุดยุคกว่าใครเพื่อนตรงที่ไม่มีปุ่มอะไรแม้แต่ปุ่มเดียวบนพวงมาลัย ซึ่ง McLaren บอกว่าพวงมาลัยรถซิ่งไม่ควรมีปุ่ม เพราะเดี๋ยวจะไปโดนตอบขับ เคยมีฝรั่งถามว่าแล้วทีทำไมรถแข่ง Formula 1 มีปุ่มบนพวงมาลัยเยอะแยะ เจ้าหน้าที่เทคนิคบอกว่าก็รถ Formula มันไม่มีแดชบอร์ด จะให้เอาปุ่มไปไว้ตรงไหนได้อีกวะ
ก้านเล็กๆทางด้านขวาของพวงมาลัย คือระบบ Cruise Control และ Speed Limiter ตรงปลายก้านเป็นปุ่มกดเพื่อยกหน้ารถเวลาวิ่งผ่านเนิน ส่วนก้านทางซ้ายคือก้านไฟเลี้ยวและแต๊บไฟสูง ส่วนก้านเล็กๆที่อยู่ในระนาบเดียวกับก้าน Cruise Control มีไว้สำหรับเลือกหน้าจอที่จะแสดงผลบนหน้าปัด วิธีการใช้คงไม่ขออธิบาย ไม่อย่างรีวิวจะยาวกว่านี้อีกเยอะ
มาที่บนแดชบอร์ดกันบ้าง บริเวณใกล้มือซ้ายของคุณคือกลุ่มสวิตช์ 4 อันที่เรียกว่า Active Dynamics Control Panel ซึ่งมีปุ่ม Aero (เปิดปิดการทำงานของ Airbrake หางหลัง) ปุ่ม H (Handling) กับ Active และ P (Powertrain) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการตอบสนองของรถ ต้องจำไว้เลยว่าการจะเปิดโหมดควบคุมเหล่านี้ให้ทำงานได้ คุณต้องกด Active ให้ไฟติดก่อนนะครับ มันถึงจะทำงาน ถ้าไม่กด หน้าปัดจะมีคำว่า H – Non Active กับ P – Non Active ขึ้น ทำไมต้องทำเป็นขั้นแบบนั้นไม่รู้ครับ แค่ให้หมุน Comfort/Sport/Track แยกกันระหว่างเครื่องกับช่วงล่าง แค่นั้นก็พอแล้วมั้ง
สวิตช์กระจกมองข้างและ Parking sensor จะหายากหน่อย..มันย้ายมาอยู่ตรงใกล้เข่าซ้าย ถัดใกล้ๆกับชุด Active Dynamics Control นั่นแหละครับ ในรถคันไหนที่มีการสั่งติดกล้องถอยหลัง เวลาเข้าเกียร์ปุ๊บ ภาพจากกล้องจะไปโชว์บนหน้าปัดแบบเต็มจอด้วย
ส่วนจอกลางขนาดใหญ่เหมือนของ Volvo นั้น เป็นศูนย์บัญชาการความสบายและความบันเทิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ ระบบนำทาง เครื่องเสียง รวมถึงการเซ็ตฟังก์ชั่นต่างๆของตัวรถ ระบบปฏิบัติการ McLaren Infotainment แบบใหม่ใช้คล่องและง่ายขึ้นกว่า IRIS เวอร์ชั่นที่อยู่ใน MP4-12C และ 650S เยอะ คุณสามารถตั้งค่าโปรดได้ว่าจะโชว์อะไรเป็นหลัก สามารถเอานิ้วแตะ จิ้ม และลากจอต่างๆไปมาเพื่อจัดเรียงตามใจคุณได้ และที่ผมชอบมากคือการเข้าสู่ฟังก์ชั่นหลักต่างๆ ยังทำเป็นปุ่มกดแบบปกติมาไว้ใต้จอ ทำให้ใช้ได้ง่ายขึ้น
ส่วนปุ่มที่เรียงเป็นตับนั้นคือปุ่มสตาร์ท ตามด้วยปุ่มสำหรับเลือกเกียร์ ตามด้วยไฟฉุกเฉิน และปุ่ม LAUNCH ซึ่งเอาไว้ใช้ทำอะไรก็คงไม่ต้องบอกล่ะ..แต่วิธีใช้ไม่ยาก เปิด Active Dynamics Panel ให้ทำงาน จากนั้นเอาเท้าซ้่ายจมเบรก เข้าเกียร์ 1 กดปุ่ม LAUNCH แล้วเอาเท้าขวาจมคันเร่ง รอบจะไปดิ้นพราดๆอยู่ที่ 3,200 แล้วก็เตรียมรับแรงจีให้ดีแล้วกันครับ
นอกจากลูกเล่นเพื่อการซิ่งแล้ว McLaren ยังมีที่วางของวางแก้วซ่อนอยู่ข้างหลังปุ่มเลือกเกียร์ และมีที่เสียบ USB ซ่อนอยู่ตรงที่เก็บของใต้ที่เท้าแขน อีกลูกเล่นหนึ่งที่เหมาะกับเศรษฐีอย่างมากคือ Valet Mode ในจอกลาง เวลาเอารถไปล้าง หรือไปตามโรงแรมแล้วต้องให้คนอื่นมาขับรถ เจ้าของรถสามารถเปิด Valet Mode โดยใส่รหัส PIN ที่จอกลาง เมื่อเปิดโหมดนี้ รถจะวิ่งได้ไม่เกิน 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และไม่สามารถเปิด Active Dynamics Panel ได้
ถือว่าพยายามเก็บรายละเอียดและคำนึงถึงรูปแบบชีวิตเจ้าของรถใช้ได้ทีเดียว!






หน้าปัด เป็นจุดหนึ่งที่พัฒนาเพิ่มจาก 650S แบบเปลี่ยนไปเลย จากเดิมที่เป็นมาตรวัดเข็มปนจอ ตอนนี้กลายเป็นจอ TFT แถมสามารถแสดงผลได้หลายรูปแบบ อย่างแรก เมื่อคุณบิด On หน้าจอจะแสดงตัวเลข Parking Days ซึ่งจะบอกว่าแบตเตอรี่มีไฟเหลือพอให้จอดได้กี่วันก่อนที่ไฟจะหมด (ปัญหาประจำของคนมีซูเปอร์คาร์เยอะ จนบางคนต้องเอาไฟเสียบรถไว้เสมอ)

จากนั้นเมื่อเข้าโหมดปกติ หน้าจอจะโชว์ข้อมูลเท่าที่จำเป็นในโหมด Comfort และโชว์มากขึ้นในโหมด Sport สามารถแสดงค่าได้หลายอย่างเช่น
  • มาตรวัดรอบและความเร็ว
  • แรงดันลมยางและอุณหภูมิยาง
  • ความร้อนของหม้อน้ำและระดับน้ำมันเชื้อเพลิง
  • ระบบนำทาง
  • Media ที่กำลังเล่นและโทรศัพท์
  • Trip Computer
  • สถานะของแบตเตอรี่
Sport Mode จะโชว์มาตรวัดรอบเป็นวงกลมเหมือน Comfort/Non-Active แต่ย้ายเลขเกียร์มาอยู่ตรงกลางมาตรวัดรอบแล้วเอาค่าความเร็วย่อลงไปอยู่ด้านขวาแทน แต่ถ้าบิดไปโหมด Track มาตรวัดรอบจะโชว์เป็นแท่งยาว ยิ่งไปกว่านั้น คุณสามารถกดปุ่มพับหน้าปัดลง จะเห็นแค่วัดรอบ ความเร็ว ตำแหน่งเกียร์แค่นั้น ซึ่งมันเป็นค่าที่จำเป็นที่สุดเวลาขับในสนามแข่ง อย่างอื่นคุณอาจไม่จำเป็นต้องทราบ ไฟเตือนและระบบต่างๆแยกกันอยู่กับจอนี้อยู่แล้ว และการพับหน้าปัดช่วยให้คุณมองเห็นด้านหน้ารถได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

****รายละเอียดทางวิศวกรรมและการทดลองขับ*****
ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกอยู่สักหน่อยที่ซูเปอร์คาร์ซึ่งมีเครื่องยนต์ทรงพลังสมัยนี้หลายรุ่นเลือกที่จะไม่โชว์ตัวเครื่องให้ใครเห็นง่ายๆ McLaren 720S ก็เป็นเช่นนั้น รถคันนี้ไม่มีสวิตช์เปิดฝากระโปรงหลังส่วนที่ครอบเครื่องยนต์ วิธีเดียวที่จะเปิดเพื่อทำการซ่อมบำรุงได้คือต้องเอาไขควงที่มีหัวแบบเฉพาะ (เหอะเหอะ..ใช่สิ) ไขแล้วยกฝาครอบออกเท่านั้น น่าเสียดาย แต่ในปัจจุบันแม้แต่ Porsche 911 ก็เป็นแบบนั้นล่ะครับ

 McLaren 720S ใช้เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M840T V8 90 องศา ขนาด 4.0 ลิตร 3,994 ซีซี. เทอร์โบแบบ Twin-scroll พร้อมเวสต์เกตไฟฟ้า 2 ลูก 32 วาล์ว หัวฉีด 2 หัวต่อ 1 สูบ ขนาดปากกระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก เท่ากับ 93.0 x 73.5 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัดต่ำแค่ 8.7 : 1 ให้พลังสูงสุด 720 แรงม้า (PS) ที่ 7,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตรที่ 5,500 รอบต่อนาที
M840T นั้น แม้จะมีลักษณะทางกายภาพของเครื่องยนต์เหมือนกับ M838T ในรุ่น 540S/570S แต่ได้ใช้ชิ้นส่วนใหม่ถึง 41% และ รวมถึงก้านสูบ ลูกสูบ ข้อเหวี่ยง ฝาสูบใหม่ เปลี่ยนเทอร์โบจากแบบธรรมดาเป็น Twin-scroll แต่ขนาดโข่งเล็กลง ท่อทางเดินอากาศใหม่ ท่อไอดีใหม่ ผลที่ออกมา ทำให้ขนาดของเครื่องยนต์โดยรวมเตี้ยกว่า M838T ใน 650S 4.5 นิ้วและมีน้ำหนักเบาลง
ผลพลอยได้จากสิ่งเหล่านี้ นอกจากจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงแล้ว เมื่อรวมกับกระจกหลังที่ใสและโปร่ง ก็ยังช่วยให้ทัศนะวิสัยด้านหลังของรถดีขึ้นกว่า 650S และดีกว่าซูเปอร์คาร์รุ่นอื่นๆ
ตัวเลขสมรรถนะจากโรงงาน บอกว่า 720S ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 2.9 วินาที และเร่งจาก 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.8 วินาที วิ่งควอเตอร์ไมล์ได้ภายใน 10.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 341 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถเบรกหยุดจากความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลา 4.6 วินาทีกับระยะเบรก 117 เมตร
ถือว่าเป็นตัวเลขที่ถ่อมตัวพอสมควร เพราะขนาด 650S รุ่นเก่า เวลามีนเอาไปทดสอบจริงก็ทำความเร็วได้ดีกว่าตัวเลขโรงงานของ 720S แล้ว แต่ถ้ามาเจอการทดสอบจริงในไทย อากาศร้อนชิบหายวายป่วง แถมเจอน้ำหนักบรรทุกผมกับพี่จ้ำ ซึ่งรวมกันน่าจะมี 230 กิโลกรัมจะเป็นอย่างไร














































































ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้